วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

นาฬิกาของชีวิต (Biological Clock)


นาฬิกาของชีวิต (Biological Clock) ถูกติดตั้งไว้ในร่างกายพร้อมการกำเนิดมนุษย์ ตั้งแต่เวลาตื่น เวลานอน เวลากิน เวลาขับถ่าย เวลาออกกำลังกาย เป็นตัวบอกสัญญาณเวลาหาคู่ ตลอดจนบอกเวลาแห่งความเป็นความตายของมนุษย์ที่น่าเชื่อถือที่สุด หากคุณต้องการจัดระเบียบชีวิตเสียใหม่ ให้กิจกรรมประจำวันมีความสอดคล้องกับกฏเกณฑ์เวลาของนาฬิกาชีวิต คุณต้องรู้ว่าในแต่ละวันควรทำอะไรบ้างในแต่ชั่วโมง
ช่วงเวลา 01.00 03.00 น. ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของตับ เป็นช่วงเวลาที่ตับหลั่งสารเอนโดฟิน (Endorphin) และช่วงนี้ไม่ใช่เวลากินอาหาร หากกินอาหารในช่วงนี้ ตับจะเสื่อมเร็ว เพราะตับมีหน้าที่กำจัดสารพิษออกจากร่างกาย หน้าที่รองคือ ดูแลความงามให้ผม ขน เล็บ และช่วยหลั่งน้ำย่อยให้กระเพาะ ถ้ากินบ่อยตับจะทำงานหนัก ทำให้การทำหน้าที่หลักบกพร่องไป เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ
ช่วงเวลา 03.00 05.00 น. ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของปอด จึงควรตื่นนอนเพื่อมาสูดอากาศบริสุทธิ์ และเตรียมตัวรับแสงแดดยามเช้า ผู้ที่ตื่นนอนในช่วงนี้เป็นประจำ ปอดจะดีผิวจะดี ลองสังเกตุพระสงฆ์ดู พระจะตื่นมาทำวัตรตอนเช้ามืด และเข้านอนช่วงที่เหมาะสม ดังนั้นกิจกรรมใดที่เกิดขึ้นตอนหลังพลบค่ำมักไม่ก่อประโยชน์ที่คุ้มค่าไป กว่าการนอนหลับ
ช่วงเวลา 05.00 07.00 น. ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของการขับถ่ายโดยผ่านลำไส้ใหญ่ ดังนั้นควรขับถ่ายให้เป็นนิสัยทุกเช้า มิฉะนั้นของเสียจะถูกระบายออกทางผิวหนัง กลิ่นเหม็นจะถูกระบายออกทางลมหายใจ
ช่วงเวลา 07.00 09.00 น. ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร ถ้ากินอาหารเช้าในช่วงเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าปล่อยอาหารให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ หากผิดเวลาในช่วงนี้ จะส่งผลให้การตัดสินใจช้า ขี้กังวล ปวดเข่า ขาไม่ค่อยมีแรง แต่ถ้าอดอาหารมื้อนั้น จะทำให้ แก่ก่อนวัย
ช่วงเวลา 09.00 11.00 น. ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของม้าม ช่วงนี้ห้ามนอนโดยเด็ดขาด เพราะม้ามจะอ่อนแอ ม้ามมีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน ผู้ที่นอนหลับในช่วงเวลานี้ จะปวดศีรษะ เจ็บชายโครง เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง ม้ามสร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย ถ้าม้ามชื้น อาหารและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมัน ทำให้อ้วน จะเห็นได้ว่าหากผิดเวลานอน ประสิทธิภาพการทำงานของตับจะลดลง แต่ถ้าอดนอนเพื่อดื่มเหล้าตอนกลางคืนก็จะทำให้ตับที่ไม่ได้พักผ่อนอยู่แล้ว ต้องมาทำงานหนักเพิ่มขึ้นอีก และหากดื่มเหล้าเสร็จแล้วกลับมานอนช่วงตี 3 ตี 4 นั้นก็เป็นการทำร้ายปอด และนอนตื่นสายไปถึงช่วงเวลา 10 โมงเช้า ก็ทำให้อดอาหารมื้อเช้าทำให้ดูแก่ก่อนวัยเข้าไปอีก บวกกับตื่นสาย ก็ทำให้ม้ามอ่อนแอ เกิดโรคเกี่ยวกับกระแสเลือด และน้ำเหลือง จะทำให้อยู่ไม่สบายตายก็ไม่สะดวก
ช่วงเวลา 11.00 13.00 น. ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของหัวใจช่วงนี้จึงเป็นช่วงหลีกเลี่ยงความเครียด และการใช้ความคิดหนัก และระงับความตื่นเต้นตกใจ
ช่วงเวลา 13.00 15.00 น. ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก ช่วงนี้เป็นช่วงที่งดกินอาหารทุกประเภท เพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ได้ทำงาน ลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด เช่น พวกวิตามิน และ โปรตีน ต่างๆ เพื่อนำเอากรดอะมิโนไปสร้างเซลล์สมอง และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโนน้อย ไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน ซึ่งผู้หญิงต้องใช้กรดอะมิโนมากกว่าผู้ชาย จึงมีลำไส้ที่ยาวเพื่อดูดซึมกรดอะมิโนนานกว่า
ช่วงเวลา 15.00 17.00 น. ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ เป็นช่วงที่เกี่ยวข้องกับระบบความจำ การอั้นปัสสาวะเอาไว้นั้นปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด ทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็น ในช่วงเวลานี้เราควรขับเหงื่อด้วยการออกกำลังกาย
ช่วงเวลา 17.00 19.00 น. ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของไต ควรทำตัวให้สดชื่น ผู้ที่ง่วงเหงาหาวนอนเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้ามีอาการหนักมากจะนอนหลับและเพ้อ ไตซ้ายคุมสมองด้านขวาคือส่วนของความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรี รักสวยรักงาม ถ้าไตซ้ายมีปัญหาจะเป็นคนที่ไม่ดูแลตนเองและจะขี้ร้อน ส่วนไตขวาจะคุมสมองด้านซ้าย ควมคุมด้านความจำ และถ้าไตขวามีปัญหาความจำจะเสื่อม เป็นคนขี้หนาว ถ้าไตแข็งแรง จะเป็นคนกล้าและอายุยืน แต่ถ้าเป็นไตวายจะตายไว ไตจะต้องทำงานหนัก ถ้าลำไส้เล็กมีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ ทำให้เป็นโรคไต ซึ่งจะส่งผลถึงอาการสมองเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ
ช่วงเวลา 19.00 21.00 น. ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงนี้ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ มีปัญหาเรื่องเยื่อหุ้มหัวใจ คือหัวใจโต หัวใจรั่ว กิจกรรมที่ควรทำช่วงนี้คือ การสวดมนต์ ทำสมาธิ ระวังเรื่องตื่นเต้นดีใจ หัวเราะ ที่จริงควรจะควบคุมอารมณ์ให้เป็นกลางๆ ไปตลอดทั้งวัน เจริญสมาธิทุกขณะจิตไปพร้อมกับการทำงาน คนที่มีเส้นเลือดขอดต้องดูแลเยื่อหุ้มหัวใจให้แข็งแข็งแรง
ช่วงเวลา 21.00 23.00 น. ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของการเก็บพลังงาน ต้องทำร่างกายให้อบอุ่น ห้ามอาบน้ำเย็นหรือตากลม เพราะช่วงนี้ลมเป็นพิษ ทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย
ช่วงเวลา 23.00 01.00 น. ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี ซึ่งเป็นถุงสำรองน้ำย่อยที่หลังออกมาจากตับ และเมื่ออวัยวะในร่างกายขาดน้ำ ก็จะดึงน้ำไปจากถุงดีทำให้น้ำดีข้น เป็นผลทำให้อารมณ์ฉุนเฉียวสายตาเสื่อมลง เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก จามตอนเช้า เพราะถุงน้ำดีจะโยงถึงปอด ปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ สำหรับผู้ที่ตัดถุงน้ำดีออก พบว่ามักมีอาการ ปวดขา ปวดสะโพก ดังนั้นช่วงเวลานี้ควรนอนก่อน 23.00 น.
การผิดเวลากับนาฬิกาชีวิต ตารางกิจกรรมสัมพันธ์กับสภาวะธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ดูแล้วจะขัดแย้งกับ วิถีชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบันเต็มไปด้วยภาระและหน้าที่ อย่างไรก็ตามการผิดเวลากับนาฬิกาชีวิต โทษที่ได้รับคือการหมดลมหายใจอันก่อนวัยอันสมควร โดยไม่อาจขอความเห็นใจเพื่อจะอยู่ทำงานต่อไปอีก นาฬิกาชีวิต เป็นประกาศิตแห่งเวลาที่จะนำพามนุษย์ไปสู่วิถีแห่งความสุข แต่น่าแปลกที่มนุษย์ต่างก็เดินสวนกับเข็มนาฬิกาเรือนนี้มากขึ้นทุกวัน มนุษย์จึงเป็นโรคและอายุสั้นลงถึง 8 ชั่วโมง จากการทำงานทุกๆ 1 วัน
                    ตารางสรุปนาฬิกาชีวิต (Biological Clock)  


วิธีการดูแลรักษาตนเองกับการผักผ่อนให้ตรงเวลา
§ ควรนอนหลับและตื่นนอนอย่างเป็นเวลาไม่ว่าจะเป็นวันหยุดหรือเป็นวันทำงาน เพื่อให้นาฬิกาชีวิตทำงานอย่างเป็นระเบียบ
§ ออก กำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยผ่อนคลายความเครียดทางร่างกายและอารมณ์ ทำให้ร่างกายหลับดีขึ้น แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายภายใน 3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพราะจะรบกวนการนอนหลับ
§ งดสารกระตุ้นหลังเที่ยงวัน เช่น ชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอร์ รวมทั้งการงดสูบบุหรี่
§ ตื่นนอนให้ตรงเวลา การตื่นนอนตรงเวลาจะทำให้ร่างกายปรับวงจรในการนอนให้เป็นปกติ
§ ถ้าไม่มีความจำเป็นไม่ควรใช้ยานอนหลับ เพราะจะทำให้ติด และเมื่อหยุดยาทำให้นอนหลับยากกว่าเดิม
§ พยายามผ่อนคลายช่วง 1 ชั่วโมงก่อนเวลาเข้านอน
อาการที่เรียกว่านอนไม่หลับ
§ หมายถึง คนที่ใช้เวลามากกว่า 30 นาที ยังไม่หลับ
§ ระยะเวลาการนอนหลับลดลง
§ ตอนกลาง คืนตื่นบ่อย ตื่นเกินกว่า 2 ครั้ง และหลับต่อยาก และเมื่อตื่นแล้วรู้สึกไม่สดชื่น รู้สึกตนเองฝันอยู่ทั้งคืน มีเสียงรบกวนเพียงนิดหน่อยก็ตื่น วันรุ่งขึ้นเวลาทำงาน รู้สึกมึนๆ งงๆ สมองไม่ปลอดโปร่ง
พอนอนไม่พอจะมีอาการดังต่อไปนี้
§ อ่อนเพลียทั้งวัน และงีบหลับกลางวันบ่อยๆ
§ ขาดสมาธิในการทำงาน มีอาการง่วงเหงาหาวนอน ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ดูรายละเอียดที่http://pannfit.blogspot.com/


คุณวราพร แคล้วศึก โทร 085-9083178

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เบาหวานทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ?





คำถามที่ได้ยินกันค่อนข้างบ่อยคือ เป็นโรคเบาหวานแล้ว สมรรถภาพทางเพศจะเสื่อมลงหรือไม่ คำตอบกว้างๆ คือ เสื่อมลง แต่ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเบาหวานในผู้ชายหรือผู้หญิง และขึ้นกับปัจจัยอื่นๆ ด้วย
สิ่งสำคัญที่ควรรู้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน

  • โรคเบาหวานจะไม่ทำให้ความสามารถในการมีเพศสัมพันธ์เปลี่ยนไปในผู้หญิง 
  • ผู้ชายที่เป็นเบาหวาน อารมณ์ทางเพศและความสามารถในการร่วมเพศอาจลดลงได้ทั้ง 2 อย่าง 
  • การแข็งตัวของอวัยวะเพศในผู้ชายต้องอาศัยการทำงานของระบบประสาท หลอดเลือด ฮอร์โมน สารหลั่งบางอย่าง สิ่งเหล่านี้มักจะผิดปกติและเป็นต้นเหตุของ ED ในเบาหวาน 
  • เบาหวานอาจถือได้ว่าเป็นโรคที่เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการ ED 
  • ผู้ที่เป็นเบาหวานที่ได้รับการวินิจฉัยมาประมาณ 10 ปี มีโอกาสเกิดอาการ ED ได้แล้วถึง 50-70% 
  • อายุยิ่งมาก ระยะเวลาเป็นเบาหวานยิ่งนาน การควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี และการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ของเบาหวาน จะทำให้เป็น ED ได้มากขึ้น 
  • ผู้ที่เป็นเบาหวานมักต้องกินยาหลายชนิด บางชนิดอาจทำให้เกิด ED ได้ 
  • การรักษา ได้แก่ การแก้ไขปัจจัยเสี่ยงต่างๆ การให้ยาเม็ดเพื่อช่วยให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้นานขึ้น แต่ยาเหล่านี้ไม่สามารถกระตุ้นให้มีอารมณ์ทางเพศเพิ่มขึ้น
โดยทั่วไปโรคเบาหวานจะไม่ทำให้ความสามารถในการมีเพศสัมพันธ์เปลี่ยนไปในผู้หญิง แต่ถ้าโรคเบาหวานรุนแรงมาก หรือมีโรคแทรกซ้อนหลายๆ อย่างจนหญิงนั้นหมดอารมณ์ การมีเพศสัมพันธ์จะลดลง

ในผู้ชายที่เป็นเบาหวาน อารมณ์ทางเพศและความสามารถในการร่วมเพศอาจลดลงได้ทั้ง 2 อย่าง เพราะในผู้ชาย การที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้จำเป็นต้องมีการแข็งตัวของอวัยวะเพศจนสามารถสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้หญิง การแข็งตัวของอวัยวะเพศในผู้ชายต้องอาศัยการทำงานของระบบประสาท หลอดเลือด ฮอร์โมน สารหลั่งบางอย่าง ตลอดจนอวัยวะเพศที่สมบูรณ์ ผู้ป่วยเบาหวานชาย ถ้ามีปัจจัยหลายๆ ประการที่กล่าวมานี้ขาดตกบกพร่อง มีโอกาสบ่อยที่จะเกิดการไม่แข็งตัวของอวัยวะเพศ (Erectile dysfunction หรือ ED) ทั้งๆ ที่ยังมีอารมณ์อยากจะร่วมเพศอยู่เต็มเปี่ยม

กรณีนี้ จะเป็นความทุกข์ทรมานต่อจิตใจของผู้ป่วยเบาหวานอย่างยิ่ง เพราะรู้สึกว่าเป็นชายที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังอาจมีปัญหาอื่นๆ ตามมาอีก เช่น ภรรยาที่บ้านอาจระแวงว่าแอบไปมีหญิงอื่น หรือบางคนพาลมีอารมณ์หงุดหงิดในเวลาทำงาน ไม่มีสมาธิในการทำงาน ในผู้ชายที่ปลงได้ ก็อาจไม่มีปัญหาอะไร คิดว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริงอาการ ED เป็นภาวะแทรกซ้อนอย่างหนึ่งของโรคเบาหวานที่พบได้บ่อยถึง 27% ถึง 75% ของผู้ที่เป็นเบาหวานแล้วแต่ว่าจะสำรวจในคนอายุมากหรือน้อย เป็นเบาหวานมานานหรือยัง มีโรคแทรกซ้อนของเบาหวานหรือยัง มีโรคอย่างอื่นร่วมด้วยหรือไม่ ดื่มสุราหรือสูบบุหรี่หรือไม่ กินยาที่ทำให้เกิด ED ร่วมด้วยหรือไม่ มีปัญหาทางจิตใจอย่างอื่น
ร่วมด้วยหรือไม่ ส่วนในผู้หญิงเนื่องจากกระบวนการในการมีเพศสัมพันธ์ไม่ต้องมีการแข็งตัวของอวัยวะเพศจึงไม่มีโรค ED ในผู้หญิง

ผู้ที่เป็นเบาหวานชายยังมีสาเหตุอื่นที่ทำให้ความสามารถในการมีเพศสัมพันธ์ลดลงด้วยคือ การมีอารมณ์ทางเพศลดลงเนื่องจากขาดฮอร์โมนเพศชายเทสโตสเตอโรน (Testosterone) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชายสูงอายุ กรณีนี้บางคนอาจไม่รู้สึกเป็นทุกข์มาก เพราะไม่มีทั้งอารมณ์ที่จะร่วมเพศ (Libido ลดลง) และอวัยวะเพศก็ไม่แข็งตัว (ED) ความทุกข์ร้อนจึงอาจไม่เท่าชายฉกรรจ์ที่มีความรู้สึกทางเพศดีอยู่แต่อวัยวะเพศไม่แข็งตัวมีแต่อาการ ED
ชายที่เป็นเบาหวาน เป็น ED กันมากแค่ไหน

เบาหวานอาจถือได้ว่าเป็นโรคที่เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการ ED มีรายงานมานานมากกว่า 200 ปี คือตั้งแต่ ค.ศ. 1798 ผู้ที่เป็นเบาหวานมีโอกาสพบอาการ ED ได้มากกว่าคนที่ไม่เป็นเบาหวานที่มีอายุเท่าๆ กัน และสามารถพบได้แม้ว่าอายุยังน้อย ผู้ที่เป็นเบาหวานที่ได้รับการวินิจฉัยมาประมาณ 10 ปี มีโอกาสเกิดอาการ ED ได้แล้วถึง 50-70% ซึ่งอายุเป็นตัวแปรที่สำคัญของอาการนี้ คนที่อายุ 20-29 ปี พบ ED ได้ 9% อายุ >70 ปี พบได้ถึง 95% นอกจากนี้ อุบัติการณ์จะยิ่งเพิ่มขึ้นถ้าเป็นเบาหวานมานานมาก การควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี และมีภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เกิดขึ้นแล้ว เช่น ที่ระบบประสาท หลอดเลือด หัวใจ ไต อายุเป็นตัวแปรที่สำคัญในการเกิด ED ทั้งในคนที่เป็นและไม่เป็นเบาหวาน ชายอายุ 80 ปี มีโอกาสเกิด ED ได้ 70-80% ไม่ว่าจะเป็นเบาหวานหรือไม่ แต่ที่อายุ 40 ปี ถ้าเป็นเบาหวาน มีโอกาสเป็น ED ได้ถึง 8-50% โดยที่คนทั่วไปพบได้เพียง 2% เท่านั้นที่อายุขนาดนี้
สาเหตุของ ED ของคนเป็นเบาหวาน

ดังกล่าวมาแล้วว่าสาเหตุของ ED มีหลายอย่าง ซึ่งแต่ละเรื่องก็พบได้ในโรคเบาหวาน หลอดเลือดแดงในคนเป็นเบาหวานจะแข็งและมีการยืดหดตัวที่ผิดปกติ ทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงที่อวัยวะต่างๆ ลดลง นอกจากนี้บางส่วนของหลอดเลือดอาจมีการอุดตัน การไหลเวียนของเลือดจะยิ่งลดลง อวัยวะเพศชายประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่คล้ายฟองน้ำซึ่งเต็มไปด้วยหลอดเลือดฝอยเล็กๆ การแข็งตัวเกิดจากการพองตัวของหลอดเลือดเพราะมีเลือดไหลมาคั่งไว้ ในผู้ที่เป็นเบาหวาน อาการ ED เกิดขึ้นเนื่องจากเลือดไหลมาบริเวณนี้น้อยลงและไม่สามารถทำให้เกิดการคั่งได้ ทำให้อวัยวะเพศไม่แข็งตัว บางครั้งแข็งตัวได้แต่อยู่ได้ไม่นาน เพราะขาดสารหลั่งที่เรียกว่า ไนตริกอ๊อกไซด์ซึ่งสร้างจากปลายประสาท และผนังด้านในของหลอดเลือดที่เรียกว่าเอ็นโดธีเลี่ยม (endothelium) ไนตริกอ๊อกไซด์มีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ดียิ่งขึ้น

ระบบประสาทอัตโนมัติในคนเป็นเบาหวานมักจะเสื่อมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ป่วยมานานและไม่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดีมาตั้งแต่ต้น จัดว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนทางประสาทของโรคเบาหวานที่สำคัญที่ทำให้เกิดอาการ ED การควบคุมเบาหวานให้ดีตั้งแต่ต้นจึงเป็นทางหนึ่งที่สามารถป้องกันหรือชะลอการเกิด ED ได้ ถ้าเริ่มมาควบคุมระดับน้ำตาลหลังจากเป็นมานานแล้ว การป้องกันจะมีผลน้อยลง การเสื่อมของระบบประสาทที่มาควบคุมอวัยวะเพศจะทำให้การสร้างไนตริกอ๊อกไซด์จากปลายประสาทลดลงจึงทำให้เกิด ED

สารไนตริกอ๊อกไซด์ (nitric oxide, NO) นอกจากสร้างจากปลายประสาทแล้วยังสามารถสร้างจากเซลล์ที่บุผนังด้านในของหลอดเลือด (endothelial cell) คนเป็นเบาหวานจะมีการเสื่อมของเซลล์เหล่านี้ ทำให้สร้างไนตริกอ๊อกไซด์ได้ลดลง ผู้ที่เป็นเบาหวานมานานและควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดีพอ จะยิ่งมีการเสื่อมของเซลล์เอ็นโดธีเลี่ยมได้มาก ทำให้เกิดอาการ ED ได้เร็วขึ้น

นอกจากนี้หากคนที่มีภาวะความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูงซึ่งพบได้บ่อยในคนเป็นเบาหวาน ก็ทำให้เกิดการเสื่อมของเซลล์เยื่อบุผนังด้านในของหลอดเลือดจะยิ่งทำให้เกิด ED ได้มากขึ้น ส่วนสาเหตุอื่นๆ เช่น การสูบบุหรี่ก็มีการวิจัยพบว่าทำให้หลอดเลือดตีบลงและมีการเสื่อมของเซลล์เอ็นโดธีเลี่ยม ดังนั้นการที่จะทำให้อาการ ED ดีขึ้น จำเป็นต้องงดการสูบบุหรี่ด้วย

ในคนเป็นเบาหวานที่มีอายุมากการสร้างฮอร์โมนเพศชายเทสโตสเตอโรนอาจลดลง มีส่วนทำให้อารมณ์ทางเพศลดลง และเกิดอาการ ED ได้ ส่วนใหญ่ของคนเป็นเบาหวานมักต้องกินยาหลายชนิด บางชนิดก็อาจทำให้เกิด ED ได้ เช่น ยาลดความดันโลหิตสูงประเภทเบต้าบล๊อคเก้อร์ ยากดระบบประสาท ยารักษาอาการซึมเศร้า ยารักษาโรคกระเพาะอาหารบางชนิด แต่ยารักษาโรคเบาหวานไม่ว่าชนิดเม็ดหรือชนิดฉีดไม่พบว่าทำให้เกิดอาการ ED ยาลดโคเลสเตอรอลในเส้นเลือดก็ไม่ทำให้เกิดอาการนี้

การป้องกันและรักษาโรค ED ในผู้ที่เป็นเบาหวาน
ผู้ชายที่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวานแล้ว ถ้ายังไม่อยากให้เกิดอาการ ED ควรดูแลสุขภาพทางเพศ

ให้ดีโดยงดเว้นการสูบบุหรี่ ห้ามดื่มแอลกอฮอล์มากและบ่อยเกินควร ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าให้น้ำหนักตัวมากเกิน ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงมาตรฐานให้มากที่สุด หลีกเลี่ยงการรับประทานยาที่อาจทำให้เกิดอาการ ถ้าปฏิบัติตัวได้ดีแล้ว แต่ก็ยังมีบางครั้งที่เกิด ED ควรปรึกษาแพทย์ การรักษาได้แก่การแก้ไขปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ การให้ยาเม็ดเพื่อช่วยให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้นานขึ้นจนสามารถร่วมเพศได้ แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าถ้าไม่มีอารมณ์ทางเพศอวัยวะเพศจะไม่มีทางแข็งตัวได้ ยาเม็ดเหล่านี้ไม่สามารถกระตุ้นให้มีอารมณ์ทางเพศเพิ่มขึ้นแต่อารมณ์ทางเพศจะเกิดขึ้นจากการสัมผัส การมองเห็น การพูดจา ตลอดจนการมีฮอร์โมนเพศชายที่ปรกติ ในคนที่เหนื่อยล้ามากจากการทำงาน ไม่มีเวลาพักผ่อน นอนไม่หลับ เครียดมาก หรือการมีโรคร้ายแรงต่างๆ มากมาย อารมณ์เพศจะเกิดขึ้นได้ยาก

ผู้ที่มีอาการ ED รุนแรงการให้ยาเม็ดอาจต้องใช้ในขนาดที่สูง ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวานมากกว่าโรคอื่น แต่บางครั้งการที่ใช้ยาขนาดเริ่มต้นแล้วไม่ได้ผล อาจเนื่องจากการใช้ยาไม่ถูกวิธี เช่น ให้เวลายาในการออกฤทธิ์น้อยเกินไป จิตใจยังไม่พร้อมที่จะมีกิจกรรมทางเพศ ในผู้ป่วยที่ใช้ยาขนาดสูงสุดแล้วยังไม่ได้ผลจำเป็นต้องพบแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับโรคนี้ ซึ่งอาจแนะนำการใช้ยาสอดเข้าไปในช่องปัสสาวะ การฉีดยาเข้าที่อวัยวะเพศโดยตรง หรือการผ่าตัดเพื่อฝังแกนในอวัยวะเพศ


ดูรายละเอียดที่http://pannfit.blogspot.com/


คุณวราพร แคล้วศึก โทร 085-9083178

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การป้องกันไม่ให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองด้วย>>>>>>ฟักข้าว





1.งดสูบบุหรี่

2.งดดื่มสุรา

3.รับประทานผัก ผลไม้ เพื่อช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น

4.ดื่มน้ำมากๆ อย่ารับประทานอาหารมันๆ เพื่อป้องกันหลอดเลือดตีบตัน

5.ถ้ามีโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต ต้องรักษาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ

6.อย่าเครียด อย่าโมโหง่าย อย่าคิดมาก

7.ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาทีอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์

8.ควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม อย่าให้อ้วน

9.ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยง เช่นความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ถ้าพบต้องรักษาและพบแพทย์สม่ำเสมอ






ฟักข้าว แคปซูล 


ปริมาณและราคา 1 ขวด มี 90 แคปซูล ราคา 1300 บาท


ดูข้อมูลที่   http://pannfitgac.blogspot.com/


สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่าย 


คุณ วราพร แคล้วศึก


โทร. 085-9083178

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วุ้นเส้น…กินแทนข้าวช่วยลดอ้วนได้






ถ้าเป็นเรื่องของการลดความอ้วน เราเชื่อว่าสาวๆ หลายคนคงค้นหาสารพัดวิธีเพื่อมาปรนนิติเรือนร่างจากที่มีเนื้ออวบอิ่มก็คงทำหลากหลายวิธีเพื่อให้ตัวเองกลับมามีหุ่นผอม เพรียวสวยอีกครั้ง เอาล่ะ ในวันนี้เราก็ไม่พลาดที่จะนำเทคนิคเรื่องอาหารที่ดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพแถมยังมีส่วนช่วยในเรื่องของการลดความอ้วนให้สาวๆ ที่กำลังอยู่ในช่วงไดเอทให้สามารถทานได้อย่างไม่ต้องกลัวอ้วนอีกต่อไปเลย ว่าแต่เมนูที่ว่านั้นคืออะไร มาดูกันเลยค่ะ

อาหารที่สามารถช่วยคุณสาวๆ ลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี ซึ่งสามารถกินแทนข้าวจนอิ่มได้เลยนั่นก็คือวุ้นเส้นนั่นเองค่ะ เนื่องจากวุ้นเส้นทำมาจากถั่วเขียวจึงไม่ก่อให้เกิดความอ้วนแน่นอน โดยเมนูอาหารที่ทำจากวุ้นก็มีหลากหลายทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น แกงจืดวุ้นเส้นหมูสับ ยำวุ้นเส้น และสุกี้น้ำ-แห้งนั่นเองค่ะ งานนี้ใช้วุ้นเส้นเป็นพระเอกล้วนๆ รับรองว่าคุณสามารถกินแทนข้าวจนอิ่มแปล้ได้อย่างพุงกางไปเลยทีเดียว

และหากต้องการให้น้ำหนักลดลงโดยเร็ว ควรกินวุ้นเส้นเป็นประจำควบคู่กับการออกกำลังกายไปในตัวนะคะ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยขับล้างไขมันได้ดีที่สุด ทำให้น้ำหนักลดลงโดยเร็วนั่นเอง ดังนั้น หันมากินวุ้นเส้นพร้อมผักและผลไม้ให้มากๆ หุ่นดี รูปร่างสวยย่อมเป็นของคุณในเร็ววันแน่นอนค่ะ


ดูข้อมูลที่  http://pannfitlooking.blogspot.com/


สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่าย ที่

คุณ วราพร แคล้วศึก

เบอร์โทร 0859083178

อีเมล์pannfit@gmail.com

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ดื่มน้ำบำบัดโรคได้แถมประหยัดอีกต่างหาก






การดื่มน้ำเป็นตัวช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง หลายคนทราบดีแต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่ได้ปฏิบัติตาม หลายคนไม่ชอบการดื่มน้ำ จึงทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำอยู่บ่อยๆ อันเป็นสาเหตุให้เกิดโรคภัยต่างๆ ตามมา เอาล่ะ งั้นเรามาดูข้อดีของการดื่มน้ำกันดีไหมคะ เพื่อที่คุณจะได้หันมาเห็นประโยชน์ของการดื่มน้ำบำบัดโรคมากยิ่งขึ้น ซึ่งคุณประโยชน์เหล่านี้ เมื่อคุณทราบแล้วอาจจะยิ่งกระตุ้นให้อยากดื่มน้ำมากขึ้นตามก็เป็นได้
ดื่มน้ำ2


1.สามารถบำบัดโรคต่างๆ ได้ เช่น อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้ปวดศีรษะ แก้ปัญหาอาการท้องผูก ป้องกันสิว ภูมิแพ้ต่างๆ ลดไข้ ความดันโลหิตสูง มะเร็งลำไส้ใหญ่ บรรเทาหวัด ลดกลิ่นปาก ฯลฯ

2.ช่วยให้ผิวพรรณผ่องใสเปล่งปลั่ง เป็นอาหารบำรุงผิวจากธรรมชาติที่ช่วยฟื้นฟูผิวแห้งให้นุ่มชุ่มชื้นได้โดยตรง และชะลอความเสื่อมชราได้

3.ปรับการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานอย่างมีระบบสมดุลย์

4.ขับล้างสารพิษทั้งในกระแสเลือด และระบบต่อมน้ำเหลืองรวมถึงอวัยวะต่างๆ หากใครต้องการหุ่นสวย สุขภาพดี การดื่มน้ำช่วยลดไขมันได้ดียิ่งนัก

5.ช่วยให้อารมณ์ดีเบิกบาน แจ่มใส ไม่เครียดง่าย เมื่อสุขภาพกายดี สุขภาพใจก็ย่อมดีตามนั่นเอง

การดื่มน้ำอย่างถูกวิธีอาจจะเป็นการจิบๆ น้ำเป็นระยะๆ ไม่จำเป็นต้องดื่มทีเดียวหมด เพราะอาจจะจุกเสียดได้ โดยเน้นดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้วต่อวัน หากให้ดีให้ดื่มน้ำตามอุณหภูมิปกติ ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำเย็นเสมอไป และตื่นมาดื่มน้ำในทุกเช้าหรือก่อนอาหารเช้า 30 นาที เพื่อกระตุ้นระบบขับถ่ายอันเป็นสาเหตุของการเกิดสิวและโรคต่างๆ ตามมา รวมทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสจากภายในสู่ภายนอกได้อย่างเห็นผล ดื่มน้ำ 1 แก้วหลังอาหาร 15 นาทีจะช่วยในเรื่องของการกระตุ้นระบบเผาผลาญพลังงาน ทำให้สุขภาพแข็งแรง หุ่นดี แถมไม่มีโรคภัยไข้เจ็บถามหา ดังนั้น สาวๆ เราคงพลาดการดื่มน้ำไม่ได้ซะแล้ว


ดูรายละเอียดที่http://pannfit.blogspot.com/


คุณวราพร แคล้วศึก โทร 085-9083178



วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ผู้ที่มีโอกาสเป็น โรคเบาหวาน




1.เบาหวาน พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย

2.แต่จะพบมากในคนอายุกว่า 40 ปีขึ้นไป

3.คนที่อยู่ในเมืองมีโอกาสเป็น เบาหวาน มากกว่าคนในชนบท

4.คนอ้วนที่น้ำหนักเกิน โดยดูจากดัชนีมวลกาย

5.ผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย


6.หญิงที่มีลูกดกโดยเฉพาะผู้มีประวัติคลอดบุตรมีน้ำหนักแรกคลอดมากกว่า4กิโลกรัม จะมีโอกาสเป็น เบาหวานได้มากขึ้น แต่ในปัจจุบันลักษณะการบริโภค และกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันส่งผลให้มีคนเป็น เบาหวาน เพิ่มมากขึ้น และการพบผู้ป่วยที่อายุน้อยที่เป็น เบาหวาน ก็เพิ่มสูงขึ้น

ดูรายละเอียดที่http://pannfit.blogspot.com/


คุณวราพร แคล้วศึก โทร 085-9083178