วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เบาหวานทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ?





คำถามที่ได้ยินกันค่อนข้างบ่อยคือ เป็นโรคเบาหวานแล้ว สมรรถภาพทางเพศจะเสื่อมลงหรือไม่ คำตอบกว้างๆ คือ เสื่อมลง แต่ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเบาหวานในผู้ชายหรือผู้หญิง และขึ้นกับปัจจัยอื่นๆ ด้วย
สิ่งสำคัญที่ควรรู้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน

  • โรคเบาหวานจะไม่ทำให้ความสามารถในการมีเพศสัมพันธ์เปลี่ยนไปในผู้หญิง 
  • ผู้ชายที่เป็นเบาหวาน อารมณ์ทางเพศและความสามารถในการร่วมเพศอาจลดลงได้ทั้ง 2 อย่าง 
  • การแข็งตัวของอวัยวะเพศในผู้ชายต้องอาศัยการทำงานของระบบประสาท หลอดเลือด ฮอร์โมน สารหลั่งบางอย่าง สิ่งเหล่านี้มักจะผิดปกติและเป็นต้นเหตุของ ED ในเบาหวาน 
  • เบาหวานอาจถือได้ว่าเป็นโรคที่เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการ ED 
  • ผู้ที่เป็นเบาหวานที่ได้รับการวินิจฉัยมาประมาณ 10 ปี มีโอกาสเกิดอาการ ED ได้แล้วถึง 50-70% 
  • อายุยิ่งมาก ระยะเวลาเป็นเบาหวานยิ่งนาน การควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี และการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ของเบาหวาน จะทำให้เป็น ED ได้มากขึ้น 
  • ผู้ที่เป็นเบาหวานมักต้องกินยาหลายชนิด บางชนิดอาจทำให้เกิด ED ได้ 
  • การรักษา ได้แก่ การแก้ไขปัจจัยเสี่ยงต่างๆ การให้ยาเม็ดเพื่อช่วยให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้นานขึ้น แต่ยาเหล่านี้ไม่สามารถกระตุ้นให้มีอารมณ์ทางเพศเพิ่มขึ้น
โดยทั่วไปโรคเบาหวานจะไม่ทำให้ความสามารถในการมีเพศสัมพันธ์เปลี่ยนไปในผู้หญิง แต่ถ้าโรคเบาหวานรุนแรงมาก หรือมีโรคแทรกซ้อนหลายๆ อย่างจนหญิงนั้นหมดอารมณ์ การมีเพศสัมพันธ์จะลดลง

ในผู้ชายที่เป็นเบาหวาน อารมณ์ทางเพศและความสามารถในการร่วมเพศอาจลดลงได้ทั้ง 2 อย่าง เพราะในผู้ชาย การที่จะมีเพศสัมพันธ์ได้จำเป็นต้องมีการแข็งตัวของอวัยวะเพศจนสามารถสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้หญิง การแข็งตัวของอวัยวะเพศในผู้ชายต้องอาศัยการทำงานของระบบประสาท หลอดเลือด ฮอร์โมน สารหลั่งบางอย่าง ตลอดจนอวัยวะเพศที่สมบูรณ์ ผู้ป่วยเบาหวานชาย ถ้ามีปัจจัยหลายๆ ประการที่กล่าวมานี้ขาดตกบกพร่อง มีโอกาสบ่อยที่จะเกิดการไม่แข็งตัวของอวัยวะเพศ (Erectile dysfunction หรือ ED) ทั้งๆ ที่ยังมีอารมณ์อยากจะร่วมเพศอยู่เต็มเปี่ยม

กรณีนี้ จะเป็นความทุกข์ทรมานต่อจิตใจของผู้ป่วยเบาหวานอย่างยิ่ง เพราะรู้สึกว่าเป็นชายที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังอาจมีปัญหาอื่นๆ ตามมาอีก เช่น ภรรยาที่บ้านอาจระแวงว่าแอบไปมีหญิงอื่น หรือบางคนพาลมีอารมณ์หงุดหงิดในเวลาทำงาน ไม่มีสมาธิในการทำงาน ในผู้ชายที่ปลงได้ ก็อาจไม่มีปัญหาอะไร คิดว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริงอาการ ED เป็นภาวะแทรกซ้อนอย่างหนึ่งของโรคเบาหวานที่พบได้บ่อยถึง 27% ถึง 75% ของผู้ที่เป็นเบาหวานแล้วแต่ว่าจะสำรวจในคนอายุมากหรือน้อย เป็นเบาหวานมานานหรือยัง มีโรคแทรกซ้อนของเบาหวานหรือยัง มีโรคอย่างอื่นร่วมด้วยหรือไม่ ดื่มสุราหรือสูบบุหรี่หรือไม่ กินยาที่ทำให้เกิด ED ร่วมด้วยหรือไม่ มีปัญหาทางจิตใจอย่างอื่น
ร่วมด้วยหรือไม่ ส่วนในผู้หญิงเนื่องจากกระบวนการในการมีเพศสัมพันธ์ไม่ต้องมีการแข็งตัวของอวัยวะเพศจึงไม่มีโรค ED ในผู้หญิง

ผู้ที่เป็นเบาหวานชายยังมีสาเหตุอื่นที่ทำให้ความสามารถในการมีเพศสัมพันธ์ลดลงด้วยคือ การมีอารมณ์ทางเพศลดลงเนื่องจากขาดฮอร์โมนเพศชายเทสโตสเตอโรน (Testosterone) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชายสูงอายุ กรณีนี้บางคนอาจไม่รู้สึกเป็นทุกข์มาก เพราะไม่มีทั้งอารมณ์ที่จะร่วมเพศ (Libido ลดลง) และอวัยวะเพศก็ไม่แข็งตัว (ED) ความทุกข์ร้อนจึงอาจไม่เท่าชายฉกรรจ์ที่มีความรู้สึกทางเพศดีอยู่แต่อวัยวะเพศไม่แข็งตัวมีแต่อาการ ED
ชายที่เป็นเบาหวาน เป็น ED กันมากแค่ไหน

เบาหวานอาจถือได้ว่าเป็นโรคที่เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการ ED มีรายงานมานานมากกว่า 200 ปี คือตั้งแต่ ค.ศ. 1798 ผู้ที่เป็นเบาหวานมีโอกาสพบอาการ ED ได้มากกว่าคนที่ไม่เป็นเบาหวานที่มีอายุเท่าๆ กัน และสามารถพบได้แม้ว่าอายุยังน้อย ผู้ที่เป็นเบาหวานที่ได้รับการวินิจฉัยมาประมาณ 10 ปี มีโอกาสเกิดอาการ ED ได้แล้วถึง 50-70% ซึ่งอายุเป็นตัวแปรที่สำคัญของอาการนี้ คนที่อายุ 20-29 ปี พบ ED ได้ 9% อายุ >70 ปี พบได้ถึง 95% นอกจากนี้ อุบัติการณ์จะยิ่งเพิ่มขึ้นถ้าเป็นเบาหวานมานานมาก การควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี และมีภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เกิดขึ้นแล้ว เช่น ที่ระบบประสาท หลอดเลือด หัวใจ ไต อายุเป็นตัวแปรที่สำคัญในการเกิด ED ทั้งในคนที่เป็นและไม่เป็นเบาหวาน ชายอายุ 80 ปี มีโอกาสเกิด ED ได้ 70-80% ไม่ว่าจะเป็นเบาหวานหรือไม่ แต่ที่อายุ 40 ปี ถ้าเป็นเบาหวาน มีโอกาสเป็น ED ได้ถึง 8-50% โดยที่คนทั่วไปพบได้เพียง 2% เท่านั้นที่อายุขนาดนี้
สาเหตุของ ED ของคนเป็นเบาหวาน

ดังกล่าวมาแล้วว่าสาเหตุของ ED มีหลายอย่าง ซึ่งแต่ละเรื่องก็พบได้ในโรคเบาหวาน หลอดเลือดแดงในคนเป็นเบาหวานจะแข็งและมีการยืดหดตัวที่ผิดปกติ ทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงที่อวัยวะต่างๆ ลดลง นอกจากนี้บางส่วนของหลอดเลือดอาจมีการอุดตัน การไหลเวียนของเลือดจะยิ่งลดลง อวัยวะเพศชายประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่คล้ายฟองน้ำซึ่งเต็มไปด้วยหลอดเลือดฝอยเล็กๆ การแข็งตัวเกิดจากการพองตัวของหลอดเลือดเพราะมีเลือดไหลมาคั่งไว้ ในผู้ที่เป็นเบาหวาน อาการ ED เกิดขึ้นเนื่องจากเลือดไหลมาบริเวณนี้น้อยลงและไม่สามารถทำให้เกิดการคั่งได้ ทำให้อวัยวะเพศไม่แข็งตัว บางครั้งแข็งตัวได้แต่อยู่ได้ไม่นาน เพราะขาดสารหลั่งที่เรียกว่า ไนตริกอ๊อกไซด์ซึ่งสร้างจากปลายประสาท และผนังด้านในของหลอดเลือดที่เรียกว่าเอ็นโดธีเลี่ยม (endothelium) ไนตริกอ๊อกไซด์มีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ดียิ่งขึ้น

ระบบประสาทอัตโนมัติในคนเป็นเบาหวานมักจะเสื่อมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ป่วยมานานและไม่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดีมาตั้งแต่ต้น จัดว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนทางประสาทของโรคเบาหวานที่สำคัญที่ทำให้เกิดอาการ ED การควบคุมเบาหวานให้ดีตั้งแต่ต้นจึงเป็นทางหนึ่งที่สามารถป้องกันหรือชะลอการเกิด ED ได้ ถ้าเริ่มมาควบคุมระดับน้ำตาลหลังจากเป็นมานานแล้ว การป้องกันจะมีผลน้อยลง การเสื่อมของระบบประสาทที่มาควบคุมอวัยวะเพศจะทำให้การสร้างไนตริกอ๊อกไซด์จากปลายประสาทลดลงจึงทำให้เกิด ED

สารไนตริกอ๊อกไซด์ (nitric oxide, NO) นอกจากสร้างจากปลายประสาทแล้วยังสามารถสร้างจากเซลล์ที่บุผนังด้านในของหลอดเลือด (endothelial cell) คนเป็นเบาหวานจะมีการเสื่อมของเซลล์เหล่านี้ ทำให้สร้างไนตริกอ๊อกไซด์ได้ลดลง ผู้ที่เป็นเบาหวานมานานและควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดีพอ จะยิ่งมีการเสื่อมของเซลล์เอ็นโดธีเลี่ยมได้มาก ทำให้เกิดอาการ ED ได้เร็วขึ้น

นอกจากนี้หากคนที่มีภาวะความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูงซึ่งพบได้บ่อยในคนเป็นเบาหวาน ก็ทำให้เกิดการเสื่อมของเซลล์เยื่อบุผนังด้านในของหลอดเลือดจะยิ่งทำให้เกิด ED ได้มากขึ้น ส่วนสาเหตุอื่นๆ เช่น การสูบบุหรี่ก็มีการวิจัยพบว่าทำให้หลอดเลือดตีบลงและมีการเสื่อมของเซลล์เอ็นโดธีเลี่ยม ดังนั้นการที่จะทำให้อาการ ED ดีขึ้น จำเป็นต้องงดการสูบบุหรี่ด้วย

ในคนเป็นเบาหวานที่มีอายุมากการสร้างฮอร์โมนเพศชายเทสโตสเตอโรนอาจลดลง มีส่วนทำให้อารมณ์ทางเพศลดลง และเกิดอาการ ED ได้ ส่วนใหญ่ของคนเป็นเบาหวานมักต้องกินยาหลายชนิด บางชนิดก็อาจทำให้เกิด ED ได้ เช่น ยาลดความดันโลหิตสูงประเภทเบต้าบล๊อคเก้อร์ ยากดระบบประสาท ยารักษาอาการซึมเศร้า ยารักษาโรคกระเพาะอาหารบางชนิด แต่ยารักษาโรคเบาหวานไม่ว่าชนิดเม็ดหรือชนิดฉีดไม่พบว่าทำให้เกิดอาการ ED ยาลดโคเลสเตอรอลในเส้นเลือดก็ไม่ทำให้เกิดอาการนี้

การป้องกันและรักษาโรค ED ในผู้ที่เป็นเบาหวาน
ผู้ชายที่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวานแล้ว ถ้ายังไม่อยากให้เกิดอาการ ED ควรดูแลสุขภาพทางเพศ

ให้ดีโดยงดเว้นการสูบบุหรี่ ห้ามดื่มแอลกอฮอล์มากและบ่อยเกินควร ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าให้น้ำหนักตัวมากเกิน ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงมาตรฐานให้มากที่สุด หลีกเลี่ยงการรับประทานยาที่อาจทำให้เกิดอาการ ถ้าปฏิบัติตัวได้ดีแล้ว แต่ก็ยังมีบางครั้งที่เกิด ED ควรปรึกษาแพทย์ การรักษาได้แก่การแก้ไขปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ การให้ยาเม็ดเพื่อช่วยให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้นานขึ้นจนสามารถร่วมเพศได้ แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าถ้าไม่มีอารมณ์ทางเพศอวัยวะเพศจะไม่มีทางแข็งตัวได้ ยาเม็ดเหล่านี้ไม่สามารถกระตุ้นให้มีอารมณ์ทางเพศเพิ่มขึ้นแต่อารมณ์ทางเพศจะเกิดขึ้นจากการสัมผัส การมองเห็น การพูดจา ตลอดจนการมีฮอร์โมนเพศชายที่ปรกติ ในคนที่เหนื่อยล้ามากจากการทำงาน ไม่มีเวลาพักผ่อน นอนไม่หลับ เครียดมาก หรือการมีโรคร้ายแรงต่างๆ มากมาย อารมณ์เพศจะเกิดขึ้นได้ยาก

ผู้ที่มีอาการ ED รุนแรงการให้ยาเม็ดอาจต้องใช้ในขนาดที่สูง ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวานมากกว่าโรคอื่น แต่บางครั้งการที่ใช้ยาขนาดเริ่มต้นแล้วไม่ได้ผล อาจเนื่องจากการใช้ยาไม่ถูกวิธี เช่น ให้เวลายาในการออกฤทธิ์น้อยเกินไป จิตใจยังไม่พร้อมที่จะมีกิจกรรมทางเพศ ในผู้ป่วยที่ใช้ยาขนาดสูงสุดแล้วยังไม่ได้ผลจำเป็นต้องพบแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับโรคนี้ ซึ่งอาจแนะนำการใช้ยาสอดเข้าไปในช่องปัสสาวะ การฉีดยาเข้าที่อวัยวะเพศโดยตรง หรือการผ่าตัดเพื่อฝังแกนในอวัยวะเพศ


ดูรายละเอียดที่http://pannfit.blogspot.com/


คุณวราพร แคล้วศึก โทร 085-9083178

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น